THE BEAUTIFUL MOUNTAIN RANGE IN ZERMATT

เซอร์แมท เมืองเล็กในหุบเขากับวิวอลังการ

TEXT & PHOTO: Khanistha Bamrungsak

สวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนในฝัน ที่พร่างพราวด้วยความขาวระยิบระยับของเกล็ดหิมะ เต็มไปด้วยเมืองสวยท่ามกลางวิวตระการตา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Zermatt เมืองเล็กๆ แสนน่ารัก ท่ามกลางหุบเขาบนความสูงที่ 1,620 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของพันธรัฐ Valais ทางตอนใต้ของสวิส ที่ไม่ว่าใครมาเยือน ต่างต้องหลงเสน่ห์อย่างแทบจะถอนตัวไม่ขึ้น

การเดินทางในสวิสนั้นแสนสะดวก ที่สำคัญคือควรมี Swiss Travel Pass ถือเป็นบัตรผ่านแบบเอกสิทธิ์ ที่อำนวยความสะดวกทั้งการขึ้นรถไฟ รถบัส เรือ แล้วยังได้รับส่วนลดพิเศษสำหรับเคเบิลคาร์ของภาคเอกชน ตลอดจนสามารถผ่านเข้าชมฟรีในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในสวิสได้เกือบ 500 แห่ง แล้วยังช่วยให้เดินทางคล่องตัวด้วย Fly Rail Baggage บริการส่งกระเป๋าเดินทางจากสายการบินสวิส ที่สามารถส่งกระเป๋าล่วงหน้าไปยังสถานีรถไฟปลายทาง โดยไม่ต้องหิ้วเองให้ลำบากฝากได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้า กระเป๋าจะไปถึงสถานีรถไฟที่ต้องการภายใน 6 โมงเย็นวันเดียวกัน หรือจะเช็กอินจากสถานีรถไฟ ส่งตรงกระเป๋าไปถึงสนามบินปลายทางในต่างประเทศที่สายการบินสวิสมีเส้นทางบิน ก็ทำได้ไม่ยากเลย

อากาศของสวิสนั้นขึ้นชื่อว่าบริสุทธิ์สดชื่น เย็นสบาย แต่หากมาที่เซอร์แมทแล้ว จะทำให้ได้สบายปอดด้วย เพราะที่นี่เป็นเมืองปลอดรถยนต์ หรือ Car-Free Zone อนุญาตให้ใช้เฉพาะรถไฟฟ้าคันกะทัดรัด ที่ไม่สร้างมลพิษ ส่วนใหญ่มีไว้สำหรับใช้ขนส่งสัมภาระต่างๆ และรับส่งนักท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟไปยังโรงแรมที่พัก แต่อย่างที่บอกว่าเซอร์แมทเป็นเมืองเล็ก การเดินจึงเป็นวิธีชมเมืองยอดนิยม เพราะทำให้ได้เพลิดเพลินไปกับสองเท้าที่ก้าวสู่จุดหมายต่างๆ หรือถ้าใครชอบปั่นจักรยานจะใช้สองล้อพาท่องก็ได้ แต่ถ้าอยากเที่ยวแบบโก้ๆ ก็ลองโบกรถม้านั่งชิลๆ ไปรอบเมืองดู ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

แม้จะเป็นเมืองเล็กไซส์มินิ มีประชากรเพียงราว 6,000 คน แต่ก็นับว่ามีชื่อเสียงในการเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะมีทั้งภูเขาสวย และชาเลต์ทรงคลาสสิกที่ปลูกลดหลั่นไปตามเนินเขา เซอร์แมทจึงคลาคล่ำไปด้วยร้านรวงมากมาย ให้สนุกกับการช้อปปิ้งได้อย่างเพลิดเพลิน รวมถึงร้านอาหารอร่อยให้ลิ้มลองเมนูพื้นเมือง และที่พลาดไม่ได้คือฟองดูชีสรสเข้มข้น ใครได้ชิมต่างต้องติดใจ ตลอดจนมีโรงแรมหลายแห่ง หลากระดับราคาให้เลือกเข้าพัก ส่วนใครอยากชมประวัติความเป็นมา และเรื่องราวเกร็ดประวัติน่าสนใจ ก็ขอให้ตรงไปที่ Matterhorn Museum ด้านหน้ามีรูปปั้นของ Steinbock Bronzeskulptur แพะภูเขาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นสะดุดตา ใกล้ๆ กันนั้นยังมี St. Mauritius Church ที่งดงามคลาสสิกด้วย

นอกจากความเงียบสงบงดงามของเมืองเล็กแห่งนี้แล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นประการสำคัญ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวปักหมุดการเดินทางมาเยือน ก็เพราะเซอร์แมทมียอดเขาสวยที่สุดในเทือกเขาแอลป์ นั่นคือ Matterhorn ยอดเขาชื่อดังระดับโลก ด้วยรูปทรงคล้ายพีระมิด ที่เห็นแล้วทุกคนต้องคุ้นตาจากโลโก้ของช็อกโกแลต Toblerone และค่ายหนังยักษ์ใหญ่แห่งฮอลลีวูดอย่าง Paramount Pictures

เมื่อขึ้นเคเบิลคาร์ไต่ระดับความสูงมาประมาณ 40 นาที โดยระหว่างทางจะมีเปลี่ยนจากกระเช้าเล็กไปขึ้นกระเช้าใหญ่ แล้วก็จะมาถึงด้านบน มีสถานี Klein Matterhorn เป็นสถานีสุดท้าย ขอเตือนด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าผลีผลามเร่งเดินออกไปตามแรงดึงดูดของบรรยากาศอันงดงาม ควรลดสปีดการเดิน และจิบน้ำให้บ่อย เพราะด้วยความสูงและความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้บางคนเกิดอาการหายใจลำบาก หน้ามืด วิงเวียน และคลื่นไส้ได้ รอสักนิดให้ร่างกายปรับสภาพได้ก่อน แล้วค่อยตักตวงความสุขบนที่สูงให้เต็มที่ บนนี้มีทั้งร้านอาหารกรุกระจกใส ให้ได้ชมวิวตระการตาด้านนอก ทั้งยังมีอุโมงค์น้ำแข็งให้เดินชม ภายในนั้นตกแต่งประดับด้วยน้ำแข็งแกะสลักเป็นรูปทรงต่างๆ

ยอดเขานี้เคยถูกพิชิตความสูง 4,478 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดย Edward Whymper นักปีนเขาชาวอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 2015 คนที่นี่บอกว่าหากขึ้นมา Matterhorn Glacier Paradise ในวันฟ้าเปิด ที่ไม่มีเมฆหมอกพลิ้วผ่านมาอำพรางสายตา จะมีโอกาสมองไปเห็นประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส รวมทั้งยอดเขามงบล็องที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์ บริเวณพรมแดนของอิตาลีกับฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเลยทีเดียว

อีกหนึ่งยอดเขาที่สามารถทอดสายตาชมวิวยอดเขามัทเธอร์ฮอร์นได้อีกมุม ก็คือ Gornergrat สูง 3,089 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ต้องนั่งรถไฟที่วิ่งระบบฟันเฟืองขึ้นมาราวครึ่งชั่วโมง บนนี้มีทั้งโรงแรม 3100 Kulmhotel Gornergrat และร้านอาหารไว้บริการ และเป็นอีกจุดหนึ่งที่คนนิยมมาเล่นสกี หรือหากใครอยากใช้เวลาละเลียดไปกับความงามของภูเขาและหิมะให้เนิ่นนานยิ่งขึ้น ก็อาจลองเดินชมกับกิจกรรม Snowshoe Hiking สวมรองเท้าสำหรับเดินตะลุยบนหิมะ ซึ่งจะต้องเช่ารองเท้าจากในเมืองด้านล่างก่อน แล้วค่อยหอบหิ้วขึ้นรถไฟไต่ระดับมาข้างบน โดยจะมีไม้ช่วยค้ำยันให้ก้าวเดินบนหิมะได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น เพราะในบางจุดอาจค่อนข้างลื่นหรือมีความลาดชัน แต่ถ้าไปในฤดูอื่นที่ไม่ได้มีหิมะปกคลุมหนาแน่น ก็สามารถเดินชิลๆ ด้วยรองเท้าคู่เก่ง ชมดอกไม้ใบหญ้าที่ซอกซอนขึ้นตามโขดหิน เพื่อลงมายังสถานีถัดไปได้เช่นกัน

การได้เพลิดเพลินอยู่ท่ามกลางความขาวโพลนของหิมะที่ปกคลุมยอดเขา ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างงดงามกว้างใหญ่ และมนต์เสน่ห์ของสวิตเซอร์แลนด์ ก็ช่างโรแมนติกสมค่ากับการเป็นเดสติเนชั่นสำหรับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ยิ่งนัก

 

Leave A Comment