DYSON PURE COOL ME

Dyson Pure Cool Me: นวัตกรรมกรองอากาศอัจฉริยะส่วนตัวที่คุณสัมผัสได้

สืบเนื่องจากการไปงานเปิดตัวสินค้าของแบรนด์ Dyson ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งทางแบรนด์มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 ชนิดทั้งเครื่องกรองอากาศส่วนตัว Dyson Pure Cool Me เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V11 และโคมไฟ Dyson Lightcycle จากการไปครั้งนี้จึงทำให้ Daybeds ได้เห็นการก้าวไปข้างหน้าเชิงนวัตกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ Dyson ใช้ในการสร้างสรรค์สินค้าทั้ง  3ชี้น

ไม่นานหลังจากนั้น ทางพีอาร์ผู้ดูแลแบรนด์ Dyson จึงได้ทำการส่งสินค้าอย่าง Dyson Pure Cool Me และเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V11 มาให้ Daybeds ได้ Hand On ทดลองใช้เพื่อนำประสบการณ์ที่ได้มารีวิวกันในทุกแง่มุม ซึ่งเราได้ทดลองใช้งาน Dyson Pure Cool Me เราจึงอยากนำสิ่งที่ได้มาแชร์ให้คุณได้อ่านกัน(ในส่วนของเครื่องดูดฝุ่นเราจะนำมาเล่าในบทความรีวิวชิ้นต่อไปจากนี้) ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปรับฟังพร้อมๆ กันเลยครับ

รูปแบบงานดีไซน์

เริ่มแรกกับการได้เห็น Dyson Pure Cool Me เต็มตาหลังแกะกล่อง บอกเลยว่าค่อนข้างโอเคกับการออกแบบตัวเครื่อง ส่วนตัวมองว่าคล้ายกับหอดูดาว Calar Alto ในเมืองอัลเมเรีย ประเทศสเปน ทำให้หน้าตาของ Dyson Pure Cool Me ดูล้ำและมีความ Unique ต่างจากพัดลมกรองอากาศทั่วไปที่ผมเคยเห็น

นอกจากความล้ำในเรื่องการดีไซน์ ในความคิดผม มันได้รับอิทธิพลจากสไตล์ Minimalism แบบเต็มๆ ซึ่งมีความเรียบง่าย สะอาดตา ทันสมัย แต่ยิ่งใหญ่ในความใส่ใจด้านรายละเอียดงานประกอบ เหล่านี้ถูกอธิบายด้วยความเรียบเนียนไร้รอยต่อในทุกข้อต่องานประกอบ เรียกว่าลูบไปตรงไหนก็นุ่มนวล สร้างความรู้สึกพรีเมียมทันทีเมื่อได้สัมผัส

โจทย์หลักในการสร้าง Dyson Pure Cool Me

แนวคิดสำคัญในการสร้าง Dyson Pure Cool Me มาจากการแก้ปัญหาของคนในยุคปัจจุบันที่ใช้เวลาอยู่ในอาคารแต่ละวันมากถึง 90% ในแต่วัน รวมถึงใช้เวลาในห้องนอนมากถึง 1 ใน 3 ของชีวิต ในพื้นที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ VOC (Volatile Organic Compounds) จากเครื่องใช้ส่วนตัว เช่น เครื่องสำอาง สเปรย์ฉีดผม น้ำหอม หรือเทียนหอม  ฯลฯ ที่เราต้องเราต้องสูดเข้าไป

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทาง Dyson ได้ทำการบรรจุฟิลเตอร์ HEPAเข้าไปในตัวเครื่อง ซึ่งฟิลเตอร์นี้มีความสามารถในการดักจับมลพิษอนุภาคขนาดเล็กพิเศษ หรือสารก่อภูมิแพ้ ได้ถึง 99.95% และมีความสามารถในการดักจับมลพิษอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอน หรือมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมถึง 300 เท่า

Core Flow เทคโนโลยีส่งผ่านอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Harrier Jump Jet

ความดีงามของ Dyson Pure Cool Me ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เรื่องของการกรองอากาศและการดีไซน์เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งคุณสมบัติหนึ่งน่าพูดถึงคือการเป็นพัดลมที่ให้ความเย็นแบบส่วนตัว ด้วยเทคโนโลยี Core Flow ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากลักษณะอากาศพลศาสตร์ส่วนค๊อกพิทนักบินของเครื่องบิน Harrier Jump Jet  ที่เป็นลักษณะกลมนูน

เทคโนโลยีนี้วิศวกรของ Dyson ได้ออกแบบการเดินทางของกระแสลมสองฝั่งให้ไหลมาบรรจบกันบริเวณกลางพื้นผิวนูน เพื่อเปลี่ยนเป็นแรงลมให้มีแรงดันสูงและมีความหนาแน่นพุ่งตรงมายังผู้ใช้แบบถึงตัวผมลองนั่งห่างจากตัวเครื่องประมาณ 1-2 เมตร ลมก็พุ่งตรงมาถึงจริงๆ สร้างความเย็น และบรรยากาศที่ดีแบบส่วนตัวได้อย่างสะดวก

ฟีเจอร์เด่นที่ได้ลอง

หลังจากได้ลองเปิดใช้ในออฟฟิศแบบส่วนตัว คราวนี้ก็ต้องลองเอากลับมาใช้ที่บ้านกันบ้าง ลองเอามาใช้งานตามฟังก์ชั่นที่มีอยู่ ทั้งโหมดการนอนหลับ ที่สามารถสามารถเซ็ตเวลาได้ตั้งแต่ 30 นาที ถึง 8 ชั่วโมง และจะปปิดตัวเองอัตโนมัติตามเวลาที่ตั้งไว้

แถมตัวจอ LCD ที่ติดมาใช้บอกค่าต่างๆ จะมีการการติดตั้งเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ช่วยควบคุมความสว่างหน้าจอตามความสว่างของตัวห้องแบบเรียลไทม์อีกด้วย ซึ่งเมื่อไฟห้องมืดลง เซ็นเซอร์ก็จะทำการปิดแสงหน้าจอเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน ในส่วนนี้เท่าที่ใช้งานในช่วงการนอนโดยผมรู้สึกได้เลยว่าตอนเช้าตื่นมาสามารถหายใจได้คล่องปอดขึ้น อากรแพ้อากาศก็ลดน้อยลง

นอกจากเอาไปใช้กับการนอนแล้ว ผมยังใช้งาน Dyson Pure Cool Me ไม่ต่างจากพัดลมตั้งโต๊ะอีกด้วย เพราะน้ำหนักตัวเครื่องที่เบาสามารถทำให้ยกถือไปไหนมาไหนในทุกมุมบ้านได้อย่างสบาย เรียกว่าสามารถพกอากาศดีๆ ติดตัวไปได้ทุกที่

ส่วนในด้านการบำรุงรักษา หรือการเปลี่ยนไส้กรอง ก็สามารถสังเกตได้ง่ายๆ จากหน้าจอ LCD ที่มีโหมดบอกอายุการใช้งานของไส้กรอง HEPA โดยเฉพาะ รวมถึงการเปลี่ยนฟิลเตอร์ก็ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากเลย

สรุปรวมความ

เอาจากประสบกาณ์ที่ได้ลองใช้ผมว่าคนที่เหมาะใช้งานพัดลมกรองอากาศรุ่นนี้ น่าจะเหมาะกับการใช้งานในออฟฟิศ หรือภายในบ้านแบบส่วนตัว ซึ่ง Dyson Pure Cool Me สามารถสร้างอากาศบริสุทธิ์ และลมเย็นให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับใครที่ต้องการกรองอากาศแบบพื้นที่ใหญ่ ก็คงต้องข้ามรุ่นนี้ไปเล่นรุ่นที่ใหญ่กว่านี้กันครับ

ข้อดีอีกอย่างที่น่าพูดถึงก็คือการใช้งานที่ง่ายมาก เรียกว่าคุณสามารถใช้งานได้ทันทีแค่ดูจากรีโมท โดยไม่ต้องอ่านคู่มือให้ยุ่งยากเสียเวลาเลย เรียกว่ามีความ User Friendly เต็มขีดจำกัด

แถมราคาของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 13,900 บาท ต้องบอกว่าไม่แพงจนเกินไป ซึ่งราคาระดับนี้น่าจะเป็นประตูบานแรกให้คุณได้เปิดใจหันมาทำความรู้จักกับสินค้าของ Dyson กันได้ไม่ยาก ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เรานำเสนอให้คุณฟัง ส่วนจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ อันนี้ก็อยู่ที่ความสมัครใจของแต่ละคนนะครับ

Leave A Comment